รองศาสตราจารย์ สมยศ เชื้อไทย (เกิด พ.ศ. 2493) เป็นนักวิชาการชาวไทย โดยเป็นรองศาสตราจารย์ประจำสาขาวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญ ภาควิชากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอดีตคณบดีคณะดังกล่าว
สมยศเกิดที่อำเภอกะปง จังหวัดพังงา บิดาเป็นผู้ใหญ่บ้านและเสียชีวิตไปเมื่อสมยศอายุได้สิบสองปี สมยศสำเร็จประถมศึกษาปีที่ 4 ณ โรงเรียนกะปง แล้วเล่าเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นต่อที่อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา สำเร็จแล้วศึกษามัธยมศึกษาตอนปลายต่อที่โรงเรียนสันติราษฎร์วิทยาลัย กรงุเทพมหานคร สายวิทย์–คณิต ลุล่วงแล้วจึงศึกษาต่อยังคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จนสำเร็จเป็นนิติศาสตรบัณฑิต และได้เกียรตินิยมดี จากนั้น เข้ารับการอบรมและสอบได้เป็นสมาชิกเนติบัณฑิตยสภาของไทย แล้วไปศึกษาต่อยังประเทศเยอรมนีได้รับประกาศนียบัตรสาขากฎหมายมหาชนจากมหาวิทยาลัยบอนน์
เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว สมยศเข้ารับราชการเป็นอาจารย์สอนวิชาต่าง ๆ ในสาขากฎหมายมหาชนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทั้งยังเคยได้รับแต่งตั้งเป็นรองอธิการบดีฝ่ายการนักศึกษา, นายกสมาคมนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สมัยที่ 15-16 (พ.ศ. 2547–2551), ผู้อำนวยการศูนย์นิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อ พ.ศ. 2552, กรรมการกฤษฎีกา (พ.ศ. 2552), กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า (พ.ศ. 2551) ฯลฯ
สมัยที่สมยศดำรงตำแหน่งนายกสมาคมนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สมยศได้มีบทบาทชักนำประชาคมธรรมศาสตร์ออกมาเรียกร้องให้พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตรลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อันเนื่องมาจากกรณีขายหุ้นชินคอร์ปที่สะท้อนให้เห็นว่า พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร มีผลประโยชน์ทับซ้อนในการใช้อำนาจบริหารราชการแผ่นดิน โดยสมยศได้กล่าวปาฐกถาแสดงความเห็นในกรณีดังกล่าวว่า หลังจากที่ฝ่ายต่าง ๆ เตรียมตรวจสอบความไม่โปร่งใสของรัฐบาลพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ทำให้พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ใชอำนาจยุบสภาผู้แทนราษฎร และกำหนดการเลือกตั้งใหม่อย่างกระชั้นชิดเกินไปเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ตนได้กลับเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินอีกครั้ง เขากล่าวว่า
"การยุบสภาว่าโดยหลักการของระบบรัฐสภาเป็นการใช้อำนาจของฝ่ายบริหาร เพื่อแก้ปัญหาในกรณีขัดแย้งระหว่างรัฐบาลและรัฐสภา หรือปัญหาของสภาผู้แทนราษฎร เพราะการยุบสภานั้นมีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพ้นจากตำแหน่งทั้งหมดก่อนครบ กำหนดอายุของสภา และต้องมีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งใหม่
แต่ปรากฏว่าการเลือกตั้งใหม่ที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาเป็นระยะเวลาที่กระชั้นชิดมาก ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ใช้อำนาจยุบสภาเพื่อใช้การเลือกตั้งฟอกตัวเองให้กลับเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก
ต่อมา ภายหลังรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 และมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 สมยศได้ออกมาแถลงว่า นับจากนี้ การต่อสู้ระหว่างอำนาจเก่าและอำนาจใหม่จะยืดเยื้อยาวนาน และฟันธงว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 จะไม่แก้วิกฤติการเมืองไทย และดูเหมือนว่าคนส่วนใหญ่จะไม่ใส่ใจกับคำเตือนของอาจารย์สอนกฎหมายรัฐธรรมนูญอย่างเขา เพราะคนส่วนใหญ่อยากเห็นการเลือกตั้งเร็ว ๆ ไว ๆ ทำให้เขาประกาศว่าจะเลิกสอนวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญอีก โดยกล่าวว่า
"ปัญหาใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต คือ ปัญหาตุลาการภิวัตน์ เอาตุลาการไปยุ่งการเมือง จะเป็นเรื่องใหญ่มากเพราะเสาหลักของรัฐธรรมนูญคือต้องแยกอำนาจตุลาการกับอำนาจบริหารให้ออกจากกัน หากศาลไปโยงกับการเมืองก็จะไปกันใหญ่ ปัญหานี้เราเคยเจอแล้วคือปัญหาของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีปัญหาการวิ่งเต้นล้มคดี ต่อไปข้างหน้าจะมีปัญหาใหญ่กว่านี้อีก หลังจากศาลมายุ่งกับการเมืองก็จะไปสนับสนุนอำนาจใหม่โดยปริยาย
"...รัฐธรรมนูญวันนี้เป็นแพะ โดยเปรียบว่า เหมือนคนทะเลาะกันแล้วรื้อบ้าน แล้วสร้างใหม่ซึ่งก็สร้างมาเหมือนเดิม โดยความจริงแล้วหลังคารั่วเมื่อสร้างใหม่คนก็ยังทะเลาะกันอีก ตรงนี้เรียกว่าปัญหาทางวัฒนธรรมทางการเมือง...
"19 กันยายน เป็นการเปลี่ยนรัฐประหารเป็นรัฐธรรมนูญ ส่วนการลงประชามติเป็นการเปลี่ยนรัฐธรรมนูญเป็นรัฐประหารรูปแบบใหม่ ผมมองว่ามาตรา 309 จะทำให้การรัฐประหารกลับมาอีก เปรียบเหมือนมาตราลูกฆ่าพ่อ คือใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญ ผมบอกทุกคนแล้วว่าผมจะไม่สอนวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญอีกเลยเพราะรับไม่ได้ กับมาตรา 309"
ส่วนผลงานในด้านวิชาการ สมยศได้ผลิตตำราที่เป็นเสาหลักทางวิชาการหลายเล่ม ดู ข้อมูลจากสำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อนึ่ง สมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สมยศเคยเป็นนักฟุตบอลและชื่นชอบกีฬาฟุตบอลเป็นพิเศษ ถึงจะเป็นอาจารย์แล้วก็ยังหาเวลาว่างไปเล่นฟุตบอลกับนักศึกษาเสมอ กับทั้งยังเป็นผู้จัดการทีมฟุมบอลของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และชื่นชอบทีมฟุตบอลลิเวอร์พูลอีกด้วย นอกจากนี้ สมยศยังเผยว่า เวลาว่างชอบมองท้องฟ้า เพราะทำให้นึกถึง "ความกว้างใหญ่ไพศาลของจักรวาล สิ่งที่มนุษย์คาดไม่ถึง" และวิธีแก้ไขปัญหาง่วงนอนในเวลาขับรถของตน คือ เอายาหม่องป้ายตา
นอกจากนี้ นักศึกษาที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มักเรียกสมยศด้วยฉายาว่า "ป๋า" และ "องค์ดำ" อันเนื่องมาจากความรู้ความเชี่ยวชาญ ประกอบกับผิวที่คล้ำของสมยศ คู่กับ แก้วสรร อติโพธิ ที่ได้ฉายาว่า "องค์ขาว"